News

PTL โชว์กำไรปี 50/51 โต 138% เดินเครื่องสายการผลิตใหม่ปั๊มรายได้เพิ่ม

Backพฤษภาคม 23 2551

PTL เผยงบการเงินงวดสิ้นปี 50/51 กำไรสุทธิโต 138% หลังยอดขายเพิ่ม 35% เดินหน้าปันผลหุ้นละ 40 สตางค์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าตัว พร้อมเดินหน้าเพิ่ม 2 สายการผลิต ภายในประเทศ และอีก 2 สายในบริษัทในเครือประเทศตุรกี รวมทั้งเพิ่มการลงทุนในสายการผลิต แผ่นฟิล์มบาง ในประเทศไทย

นายมานิตย์ กุปต้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน กลุ่มบริษัทโพลีเพล็กซ์ เปิดเผยผลประกอบการของบริษัท โพลีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PTL ประจำปี 2550/2551 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 ว่าบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 813.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 471.71 ล้านบาทหรือ 138% เมื่อเทียบกับปี 2549/2550 ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 341.84 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมาจากการที่ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 4,700 ล้านบาท เป็น 6,400 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 35%

ทั้งนี้ จากนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ ซึ่งจะจ่ายในอัตรา 40% ของกำไรสุทธิ บริษัทฯ จึงประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากผลการดำเนินงานในปี 2549/2550 ซึ่งจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท โดยจะประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติดังกล่าวในวันที่ 29 กรกฎาคม 2551

นายมานิตย์กล่าวด้วยว่า PTL ได้เริ่มผลิตในสายการผลิต Extrusion Coating Film ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสายการผลิตแรกที่จะเพิ่มสายการผลิตของบริษัทฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเริ่มสายการผลิตฟิล์มเคลือบโลหะ (Metallizer) ในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และทำให้บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตลาดทั้งระดับบนและระดับล่าง

ขณะเดียวกัน การลงทุน 100% ในบริษัทลูกในตุรกี ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 ยังสามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการเพิ่มสายการผลิตที่ 2 แผ่นฟิล์มบาง และแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะในเดือนพฤษภาคม ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว โดยทั้ง 2 โครงการสามารถเปิดได้ตามกำหนดและอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้

"เราเชื่อว่า PTL ยังได้รับผลดีจากมาตรการภาษี (Anti Dumping) ของสหรัฐอเมริกาต่อสินค้าที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ ที่ได้ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2551 เนื่องจากหากเป็นสินค้าจากประเทศจีน จะต้องเสียภาษีในอัตรา 46.82-76.2% ขณะที่สินค้านำเข้าจากบราซิล เสียภาษีในอัตรา 28.72-44.36% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2.45% ส่วนประเทศไทยเสียภาษีนำเข้า 0% ซึ่งส่งผลให้ PTL เสียภาษีในอัตรา 0% ตามไปด้วย ซึ่งจุดนี้จะเป็นโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมด้วย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน PTL กล่าว

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริหาร PTL มีมติอนุมัติโครงการลงทุนในสายการผลิตแผ่นฟิล์มบาง สายการผลิตเม็ดพลาสติก และสายการผลิตแผ่นฟิล์มเคลือบอลูมิเนียมในประเทศไทยมูลค่าการลงทุน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสายการผลิตที่ใหญ่ที่สุดที่จะช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุนการผลิต และเพิ่มศักยภาพในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้ทบทวนโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อจะยกระดับจากผู้ผลิตแผ่นฟิล์มบาง (Pet Film) ในสู่การเป็นผู้ผลิตแผ่นฟิล์มสำหรับบรรจุภัณฑ์ (Packaging Film) ซึ่งจะทำให้มีผลิตภัณฑ์สำหรับบรรจุภัณฑ์ทุกเกรด โดยเฉพาะโครงการผลิต CPP Film ซึ่งคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติตั้งแต่ปี 2550 โดยจะเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552-2553