เรียนท่านผู้ถือหุ้นที่เคารพ
ปี 2566 ยังคงเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายนานัปการสำหรับอุตสาหกรรมแผ่นฟิล์มโพลีเอสเตอร์ มีการเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ในประเทศจีนและอินเดียในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดสภาวะสินค้าล้นตลาดและการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น จนสร้างแรงกดดันต่อส่วนต่างกำไรของผู้ผลิตแผ่นฟิล์มโพลีเอสเตอร์ทั่วโลก ประกอบกับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความกดดันจากเงินเฟ้อ วิกฤตทะเลแดง และการหดตัวของอุปสงค์ในธุรกิจปลายน้ำบางธุรกิจอันเป็นผลจากการระบายสต็อกตลอดห่วงโซ่คุณค่า ล้วนนำไปสู่การทำกำไรในปีนี้โดยรวมของบริษัทลดต่ำลงอย่างมาก
ในปีนี้บริษัทมียอดขาย 20.9 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากราคาขายลดลง (ซึ่งสอดคล้องกับราคาวัตถุดิบสำคัญๆที่ลดลง) และปริมาณขายแผ่นฟิล์มลดลงร้อยละ 7 กำไรสุทธิตามปกติหลังปรับปรุงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 0.7 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
จากการที่บริษัทมีฐานการผลิตในทำเลต่างๆ มีฐานลูกค้ากว้าง และนำเสนอผลิตภัณฑ์อันเป็นที่สนใจของลูกค้าได้โดยมีสัดส่วนแผ่นฟิล์มที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ (specialty) สูง ตลอดจนเน้นประสิทธิภาพด้านต้นทุนและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมโดยมีตัวเลขทางการเงินที่น่าพอใจ ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญและลงทุนในการเพิ่มศักยภาพการผลิตและขยายการผลิตแผ่นฟิล์ม specialty โดยมั่นใจว่าจะส่งผลในทางบวกต่อการทำกำไรของบริษัทในช่วงหลายปีข้างหน้า
ความยั่งยืนเป็นอีกด้านหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โพลีเพล็กซ์มุ่งเน้น บริษัทได้ผลักดันแนวคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนมากมายมาเป็นเวลานานแล้วและล้ำหน้าข้อกำหนดทางการเกี่ยวกับความยั่งยืนไปมากแล้ว การลงทุนต่างๆที่บริษัทได้ดำเนินการทั้งการลงทุนจัดตั้งบริษัทย่อยอีโคบลู (Ecoblue) ในปี 2555 เป็นโรงงานรีไซเคิล ตามด้วยการขยายไปยังกิจการรีไซเคิลขยะพลาสติก PET และโพลีโอเลฟิน หลังการบริโภคในปี 2565 ตลอดจนการลงทุนล่าสุดในสายรีไซเคิลเชิงเคมีในประเทศตุรกีและประเทศไทย ล้วนแสดงถึงเจตนารมณ์ของบริษัทในการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นคู่คิดที่ลูกค้าทุกกลุ่มพึงพอใจและเลือกสรรให้ร่วมเดินทางในเส้นทางการพัฒนาโซลูชั่นนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อสร้างโลกอนาคตที่งดงามยิ่งขึ้น
แม้ว่าสภาวะตลาดในปัจจุบันจะค่อนข้างซบเซาและมีแรงกดดันต่อส่วนต่างกำไรอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการบริษัทได้เสนอให้บริษัทจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.24 บาทต่อหุ้นสำหรับปี 2566-67 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 35 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมที่ยังไม่รวมผลจากการปรับปรุงบัญชีของบริษัท
งบแสดงฐานะการเงินของบริษัทยังคงค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำและมีสภาพคล่องเพียงพอ ซึ่งเอื้ออำนวยให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะตลาดที่ค่อนข้างตึงตัวดังจะเห็นได้จากสภาวการณ์ช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังคงพร้อมปรับตัวและมีความมั่นใจต่ออนาคตอันสดใสในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้ โดยจะประเมินโอกาสในการลงทุนใหม่ๆสำหรับแผ่นฟิล์มพื้นฐานและปลายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนองการใช้อุตสาหกรรมยุคใหม่ รวมทั้งทำการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างเหมาะสมและทันการณ์
ในนามของคณะกรรมการบริษัท กระผมขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้นทุกท่าน ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และพนักงานทุกคนของบริษัทที่ให้การสนับสนุนบริษัทด้วยดีในทุกสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งขาขึ้นและขาลงตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษแห่งการดำเนินธุรกิจของบริษัท