โพลีเพล็กซ์ปลื้มผลการดำเนินงานไตรมาสแรก กำไรขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 500% เหตุรับรู้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในตุรกีและสหรัฐ
นายมานิตย์ กุปต้า กรรมการ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.50 ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิ 186.71 ล้านบาท หรือ 0.23 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 30.94 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 503%
ไตรมาสแรกบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,541.46 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 472.64 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 44.22% ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการขายจากบริษัทย่อยในประเทศตุรกีและสหรัฐอเมริกา
ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทจำนวน 1,328.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 317.15 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.34% เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตและยอดขายของบริษัทย่อยในประเทศตุรกี ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวมต่อรายได้รวมของบริษัทลดลงคิดเป็น 94.67% เป็น 86.21%
นายมานิตย์ ระบุว่า บริษัทย่อยในประเทศตุรกีเริ่มการผลิตเม็ดพลาสติกจากโรงงานของตนเองในเดือน ธ.ค.49 และ ยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อีก สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทนั้นลดลงจาก 820.63 ล้านบาท เป็น 703.10 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากการปรับลดราคาของวัตถุดิบค่าใช้จ่ายทางการเงินระหว่างปี 18.68 ล้านบาท ลดลง 1.86 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายคืนของเงินกู้ยืมโดยบริษัทย่อยในตุรกี
ก่อนหน้านี้บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดว่า บริษัท โพลีเพล็กซ์ จะรายงานกำไรปกติไตรมาสแรกเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 6 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จะเพิ่มขึ้น 11% เป็น 1,444 ล้านบาท ด้วยสาเหตุหลักมาจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยของโรงงานในประเทศไทยและโรงงานในตุรกีที่สูงถึง 105% และ 110% ตามลำดับ
บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ในระยะสั้นด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเกินระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล และปริมาณพาราไซลีนที่ลดลงในภูมิภาคอาจจะผลักดันให้ราคาพีทีเอ ปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตามในระยะกลางสถานการณ์ผลผลิตล้นตลาดของพีทีเอ ซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเสริมอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท เนื่องจากนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา มีกำลังการผลิตพีทีเอ ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นประมาณ 1,800,000 ตัน/ปี และยังมีกำลังการผลิตพีทีเอส่วนใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกอย่างต่ำ 1,000,000 ตัน/ปี ในอนาคต
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2550